ข้อเคล็ด ข้อแพลง
เกิดจากการฉีกขาดของเอ็นที่ยึดข้อ การฉีกขาดอาจเป็นเพียงบางส่วน หรือฉีกขาดทั้งหมด ถ้ารักษาไม่ดีอาจจะทำให้เอ็นยึดหรือติดไม่แข็งแรงหรือติดไม่ดี ผลที่ตามมาคือ เจ็บ ข้อหลวม หรือเกิดข้อเสื่อมในภายหลังได้
บาดเจ็บจากการกีฬาที่พบบ่อยคือ ข้อเท้า ข้อเข่า เอ็นยึดข้อเท้าและข้อเข่ามีอยู่ด้วยกันหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มประกอบด้วยเอ็นหลายผืนหรือหลายมัด แต่ละมัดหรือผืนประกอบด้วยเส้นใยเล็กๆ เรียงตัวกอดกันแน่นในผืนหรือมัดตามความยาว เอ็นยึดข้อเท้า มีขนาดใหญ่แตกต่างกันไปตามจำนวนเส้นใย และเส้นใยดังกล่าวมีคุณสมบัติคือ สามารถยืดหดได้เล็กน้อย และมีความเหนียวทนต่อแรงดึงและแรงบิดที่จำกัด ถ้าแรงดึงหรือแรงบิดมากจนเกินไปใยเส้นเอ็นนั้นจะยืดขาดออกจากกันในที่สุด
ถัดลึกลงไปจากชั้นเอ็นยึดข้อจะเป็นเยื่อบุข้อ ซึ่งในชั้นนี้จะมีหลอดเลือดฝอยกระจายอยู่มากมาย เยื่อบุข้อทำหน้าที่ผลิตน้ำไขข้อซึ่งเป็นอาหารของผิวกระดูกอ่อน ข้อต่อ และยังเป็นตัวหล่อลื่นแรงเสียดทานระหว่างผิวกระดูกข้อต่อ ถ้ามีการฉีกขาดถึงเยื่อบุข้อต่อจะทำให้เลือดออกคั่งอยู่ภายในข้อ เมื่อดูจากภายนอกจะเห็นว่าข้อนั้นบวมขึ้นอย่างรวดเร็ว
เอ็นยึดข้อเท้ากลุ่มที่เสี่ยงอันตรายมากคือ กลุ่มที่อยู่ตรงบริเวณตาตุ่มด้านนอก ถ้าข้อเท้าพลิกในลักษณะที่ฝ่าเท้าบิดเข้าใน จะมีผลให้เอ็นยึดข้อเท้าด้านนอกที่เกาะติดกับบริเวณตาตุ่มด้านนอกบาดเจ็บ เอ็นยึดที่เข่า กลุ่มที่เสี่ยงอันตรายมากคือ กลุ่มที่อยู่ด้านในและด้านนอกของข้อเข่า ถ้าข้อเข่าพลิกออกด้านนอก (โดยขากางออกทางด้านนอกและเข่าอยู่กับที่) จะทำให้เอ็นด้านในข้อเข่าฉีกขาด ซึ่งพบได้มากกว่าเอ็นด้านนอกของข้อเข่าฉีกขาด ถ้ามีความรุนแรงมากขึ้นจะทำให้เยื่อบุข้อต่อฉีกขาด ทำให้บวมทั้งข้อต่อ สำหรับข้อเข่านั้นอาจทำให้เอ็นภายในข้อเข่าฉีกขาดร่วมด้วย
ความรุนแรงของข้อเคล็ด ข้อแพลง แบ่งเป็น 3 ระดับ
ระดับที่ 1 มีการฉีกขาดของเอ็นเล็กน้อยหรือมีการยืดของเอ็นบริเวณข้อต่อนั้น กดเจ็บบริเวณที่มีการฉีกขาดแต่จะไม่บวมหรือบวมเล็กน้อย อยู่เฉยๆ จะไม่เจ็บมีการเสียวหรือปวดที่ข้อต่อนั้นน้อยมาก และเดินไม่กะเผลก
การปฐมพยาบาล
ให้พักข้อต่อนั้นโดยยกให้สูงและประคบเย็นทันที ประมาณ 5-10 นาที โดยใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งทุบละเอียดบรรจุในกระเป๋ายาง ถุงพลาสติคหรือห่อผ้าและพันผ้ายืดไว้ ประมาณไม่เกิน 3 วันจะหายเป็นปกติ
ระดับที่ 2 จะมีความรู้สึกเจ็บปวด มีการเสียวที่ข้อต่อนั้นเล็กน้อย เดินกะเผลกสำหรับข้อเท้านั้นจะทำให้ไม่สามารถเขย่งปลายเท้าหรือยืนบนปลายนิ้วเท้า เวลาเดินจะมีการบวมเฉพาะที่ และถ้าใช้นิ้วกดตรงบริเวณนั้น จะมีอาการเจ็บปวดอย่างมาก ถ้าทำให้มีการเคลื่อนไหวหรือหมุนบิดของข้อนั้น อาการบวมจะมีในทันทีเนื่องจากมีการฉีกขาดของหลอดเลือดบริเวณนั้น ทำให้มีเลือดคั่งบริเวณใต้ผิวหนัง
การปฐมพยาบาล
สิ่งที่ต้องทำทันทีคือ การพักและยกข้อนั้นให้สูงไว้ จากนั้นประคบน้ำเย็นทันที ควรประคบหลายๆ ครั้งติดต่อกัน แต่ละครั้งนานประมาณ 5-10 นาที พัก 2-3 นาที ระหว่างพักควรเฝ้าดูอาการบวมบริเวณนั้น ถ้าอาการบวมคงที่ไม่เพิ่มขึ้นเป็นอันเสร็จวิธีประคบเย็น จากนั้นพันข้อต่อนั้นด้วยพลาสเตอร์หลายๆ ครั้ง ที่เรียกว่าเฝือกอ่อน ให้ยึดตรึงหรือล็อคข้อนั้นไว้ เพื่อให้เอ็นประสานกันและติดกันสนิท (สำหรับข้อเท้านั้นให้ยกกระดกขึ้นและบิดออกทางด้านนอก) จากนั้นพันด้วยผ้ายืด เราจะพันไว้ประมาณ 3 สัปดาห์ โดยเปลี่ยนพลาสเตอร์ที่พันทุก 1 สัปดาห์ เพราะมันจะยืดและทำให้หลวมได้
เมื่อครบ 3 สัปดาห์เอาเฝือกอ่อนนี้ออกแล้วค่อยๆ หัดบริหารข้อต่อนั้น โดยเคลื่อนไหวต่อต้านแรงที่ต่อต้านการเคลื่อนไหวเพื่อให้กล้ามเนื้อรอบข้อต่อนั้นแข็งแรง แต่ถ้าไม่บริหารหลังเอาเฝือกอ่อนออก แล้วไปเล่นกีฬาจะทำให้ข้อต่อนั้นไม่แข็งแรง เกิดมีการพลิกหรือบาดเจ็บได้ง่าย ทำให้เกิดข้อเคล็ดหรือข้อแพลงได้ซ้ำอีกอยู่บ่อยๆ
ระดับที่ 3 มักจะมีการฉีกขาดของเยื่อหุ้มข้อร่วมด้วยเสมอ ทำให้มีเลือดคั่งในข้อหรือซึมอยู่ใต้ผิวหนัง จะเห็นข้อเท้าหรือข้อเข่านั้นบวมทั้งข้อ มักจะเกิดจากการพลิกอย่างรุนแรง หรือในรายที่ได้รับบาดเจ็บซ้ำเติมภายหลังที่ข้อแพลงระดับ 2 นั้น ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเพียงพอหรือรีบใช้งานเร็วเกินไป
อาการที่เกิดขึ้นจะเจ็บปวดมาก บวมมาก เมื่อเราตรวจจับข้อเท้าหรือข้อเข่าแยกหรือบิดออกจากกัน จะเห็นว่ามีช่องว่างอ้าออกจากกันและไม่มั่นคง อาการบวมนั้นจะเกิดขึ้นทันทีทันใด เนื่องจากเยื่อบุข้อต่อฉีกขาดทำให้เลือดคั่งอยู่ในข้อต่อนั้น จะเห็นข้อบวมชัดเจน บางรายเห็นเป็นกระเปาะ คลำดูรู้สึกอุ่นๆ เลือดที่คั่งอาจเซาะมาใต้ผิวหนังทำให้สีผิวเปลี่ยนแปลงไป โดยวันแรกอาจจะมีสีแดงเรื่อๆ หรือเปลี่ยนแปลงไม่ชัดเจน แต่ในวันต่อมาจะมีสีเขียวคล้ำหรือม่วงคล้ำ จากนั้นค่อยๆ จางหายไปพร้อมอาการบวมในประมาณปลายสัปดาห์ที่ 3
การปฐมพยาบาล
การรักษาและป้องกันระยะแรก ปฏิบัติเหมือนระดับที่ 2 ใส่เฝือกปูนปลาสเตอร์อย่างน้อย 4-6 สัปดาห์ การใส่เฝือกนี้สามารถเสริมส้นยางที่เฝือกเพื่อเดินลงน้ำหนักได้ในกรณีบาดเจ็บที่ข้อเท้า เมื่อครบ 4-6 สัปดาห์ถอดเฝือกออกจะต้องพันผ้าหรือสวมสนับข้อเท้าหรือสนับข้อเข่า เพื่อช่วยพยุงต่อไปอีกระยะหนึ่งจนกว่าจะใช้ข้อต่อนั้นได้ตามปกติ จากนั้นเคลื่อนไหวและบริหารต่อเพื่อให้ข้อแข็งแรงแล้วจึงกลับไปเล่นกีฬาได้ตามปกติ
การใช้ยาร่วมด้วย ยาที่ให้ได้ คือ ยาลดบวม วิตามินซี และยาต้านการอักเสบ เพื่อเสริมสร้างเนื้อเยื่อให้สร้างและติดกันเร็วขึ้น
ข้อควรระวังและข้อผิดพลาด
1.รักษาอย่างไม่ถูกต้องคือ ในทันทีที่ได้รับบาดเจ็บคือ แทนที่จะพักกลับทำการนวดเฟ้น หรือจับข้อบิดหมุนทำให้เอ็นยึดข้อที่ยึดอยู่ฉีกขาดมากขึ้น หรือเอ็นยึดข้อที่ฉีกขาดเป็นบางส่วนจะฉีกขาดโดยสมบูรณ์ เนื้อเยื่อที่ชอกช้ำจะได้รับอันตรายเพิ่มขึ้น ข้อที่ไม่บวมหรือบวมเล็กน้อยจะบวมมากขึ้นไปอีก
2.การประคบร้อนซึ่งโดยปกติควรเริ่มหลังจาก 24-48 ชั่วโมงผ่านไปแล้ว เพราะระยะนี้ความร้อนจะช่วยลดการอักเสบ ถ้าประคบร้อนในรายที่ได้รับบาดเจ็บมาใหม่ๆ จะทำให้หลอดเลือดขยายตัว เลือดยิ่งออกมากขึ้น ยิ่งกว่านั้นบางรายใช้ข้าวสุกร้อนๆ พอกลงไปบริเวณที่บวม ก็จะทำให้ผิวหนังนั้นพอง และเกิดการอักเสบติดเชื้อหรือภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้
3.การพันผ้า การรัดหรือดามด้วยเฝือกไว้ ถ้าพันผ้าไม่ถูกวิธีหรือแน่นเกินไป เมื่อเกิดอาการบวมทำให้ผิวหนังถูกกด เน่า บางรายรัดแน่นมากไปจนเลือดไม่สามารถไปเลี้ยงส่วนปลายนิ้วเท้าได้ สุดท้ายทำให้นิ้วเน่าดำ จนถึงถูกตัดเท้าข้างนั้นไปอย่างน่าเสียดายมาก
หวังว่าคงพอเข้าใจนะครับ ถ้ามีข้อสงสัยหรือคำถามประการใดเกี่ยวกับการออกกำลังกายหรือเล่นกีฬากรุณาส่งไปที่สาขาเวชศาสตร์การกีฬา ภาควิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิคส์ฯ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
วันพุธ, มกราคม 24, 2550
วันศุกร์, มกราคม 12, 2550
ทำไมต้องมียางลบอยู่บนหัวดินสอ??
บางครั้งเราก็มองข้ามสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ไป เพียงเพราะใช้เวลาสั้นๆ ในการตัดสินสิ่งใดสิ่งหนึ่งว่า "ไร้สาระ"
หลายวันก่อน เพื่อนคนหนึ่งถามผมว่า "ทำไมต้องมียางลบอยู่บนหัวดินสอ?"
ผมไม่ได้สนใจและใส่ใจกับคำถามนั้นสักเท่าไหร่ เพียงแค่รู้สึกว่าเป็นคำถามหนึ่งที่ผ่านเข้ามา ไม่มีสาระอะไรเสียเลย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะตอบเล่นๆ ไปว่า "ก็คงมีไว้เพื่อความสะดวกมั๊ง หรือไม่ก็ช่วยให้คนขี้ลืมชอบวางยางลบไว้ไม่เป็นที่เป็นทางได้มียางลบใช้มั๊ง"
เพื่อนของผมก็อมยิ้ม ก่อนที่จะตอบผมสั้นๆ ว่า "ไม่ใช่"
"อ้าว..งั้นเพราะอะไรล่ะ" ผมอดที่จะถามไม่ได้
ก็เพราะว่า "คนเราสามารถทำผิดกันได้"
"......................." ผมนิ่งไปครู่หนึ่งหลังจากที่ได้ยินคำตอบ และปล่อยให้เจ้าของคำถามเดินจากไป โดยที่ไม่ได้อธิบายอะไรไปมากกว่าคำตอบสั้นๆ ของเขาเท่านั้น คำถามของเพื่อนที่ผมเคยมองว่ามันไร้สาระ กลับทำให้ผมได้เก็บมาคิดแทบทุกขณะที่สมองว่าง ตลอดช่วงเย็นวันนั้น ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความนั้นส่งถึงเพื่อนๆ ด้วยประโยคเดียวกัน
"ทำไมต้องมียางลบอยู่บนหัวดินสอ?"
......................
"เพราะคนเรามีสิทธิ์ทำผิดกันได้ "
......................
แต่จงจำไว้ว่า.. "เราไม่ควรใช้ยางลบให้หมดก่อนดินสอ เพราะนั่นอาจหมายความว่า เรากำลังทำผิดซ้ำๆ จนความผิดพลาดนั้นอาจสายเกินแก้"
ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่คิดได้ต่อจากคำถามของเพื่อนนั้นมันจะถูกต้องหรือไม่ และเพื่อนๆ ที่ได้รับข้อความจากผมจะเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการจะบอกหรือเปล่า
จะเข้าใจ หรือ ไม่เข้าใจ ไม่ใช่สิ่งที่ผมตอ้งการสักเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ผมอยากจะได้รับก็คือ เพื่อนของผมจะคิดต่อจากความคิดผมอย่างไร? และผมก็แค่หวังลึกๆ ว่า เพื่อนของผมคงจะกล้าเผชิญหน้ากับความผิดพลาด ยอมรับการกระทำของตัวเอง และไม่ประมาทในการใช้ชีวิต เพียงแค่นั้นผมก็หมดห่วง
แล้วเพื่อนๆ ล่ะครับ คิดอย่างไรกับคำว่า "ทำไมต้องมียางลบอยู่บนหัวดินสอ"
สำหรับเราเหรอ.. พอได้อ่านแล้วก็มีความคิดหลายๆ อย่างเกิดขึ้น
คำตอบหนึ่ง.. เพื่อความสะดวกสบายของผู้ใช้ อานิสงของผู้มีประสบการณ์มาก่อนและคิดไว้เพื่อประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์
คำตอบสอง.. เพื่อเพิ่มคุณค่าของดินสอธรรมดาๆ ให้มีความแตกต่าง และมีราคาสูงขึ้น
ฟังดูแล้วเป็นคำตอบในแง่ธุรกิจซะจริง
หากนำความคิดของคนข้างบนมาเป็นแนวทาง
คำตอบสามที่เราได้.. หากได้ทำสิ่งทีผิดพลาดอย่างร้ายแรง แม้ผู้ทำผิดจะพยายามแก้ตัวทั้งชีวิต ก็ไม่อาจลบความผิดพลาดนั้นออกไปจากใจของผู้ถูกกระทำได้ เพราะงั้นอย่าคิดไปเองว่าทุกครั้งที่ทำผิด (ดินสอ) จะต้องได้รับการให้อภัย (ยางลบ)เสมอไป เพราะบางทีมันก็ขึ้นอยู่กับ "กระดาษ" ด้วยเช่นกัน
หลายวันก่อน เพื่อนคนหนึ่งถามผมว่า "ทำไมต้องมียางลบอยู่บนหัวดินสอ?"
ผมไม่ได้สนใจและใส่ใจกับคำถามนั้นสักเท่าไหร่ เพียงแค่รู้สึกว่าเป็นคำถามหนึ่งที่ผ่านเข้ามา ไม่มีสาระอะไรเสียเลย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะตอบเล่นๆ ไปว่า "ก็คงมีไว้เพื่อความสะดวกมั๊ง หรือไม่ก็ช่วยให้คนขี้ลืมชอบวางยางลบไว้ไม่เป็นที่เป็นทางได้มียางลบใช้มั๊ง"
เพื่อนของผมก็อมยิ้ม ก่อนที่จะตอบผมสั้นๆ ว่า "ไม่ใช่"
"อ้าว..งั้นเพราะอะไรล่ะ" ผมอดที่จะถามไม่ได้
ก็เพราะว่า "คนเราสามารถทำผิดกันได้"
"......................." ผมนิ่งไปครู่หนึ่งหลังจากที่ได้ยินคำตอบ และปล่อยให้เจ้าของคำถามเดินจากไป โดยที่ไม่ได้อธิบายอะไรไปมากกว่าคำตอบสั้นๆ ของเขาเท่านั้น คำถามของเพื่อนที่ผมเคยมองว่ามันไร้สาระ กลับทำให้ผมได้เก็บมาคิดแทบทุกขณะที่สมองว่าง ตลอดช่วงเย็นวันนั้น ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความนั้นส่งถึงเพื่อนๆ ด้วยประโยคเดียวกัน
"ทำไมต้องมียางลบอยู่บนหัวดินสอ?"
......................
"เพราะคนเรามีสิทธิ์ทำผิดกันได้ "
......................
แต่จงจำไว้ว่า.. "เราไม่ควรใช้ยางลบให้หมดก่อนดินสอ เพราะนั่นอาจหมายความว่า เรากำลังทำผิดซ้ำๆ จนความผิดพลาดนั้นอาจสายเกินแก้"
ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่คิดได้ต่อจากคำถามของเพื่อนนั้นมันจะถูกต้องหรือไม่ และเพื่อนๆ ที่ได้รับข้อความจากผมจะเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการจะบอกหรือเปล่า
จะเข้าใจ หรือ ไม่เข้าใจ ไม่ใช่สิ่งที่ผมตอ้งการสักเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ผมอยากจะได้รับก็คือ เพื่อนของผมจะคิดต่อจากความคิดผมอย่างไร? และผมก็แค่หวังลึกๆ ว่า เพื่อนของผมคงจะกล้าเผชิญหน้ากับความผิดพลาด ยอมรับการกระทำของตัวเอง และไม่ประมาทในการใช้ชีวิต เพียงแค่นั้นผมก็หมดห่วง
แล้วเพื่อนๆ ล่ะครับ คิดอย่างไรกับคำว่า "ทำไมต้องมียางลบอยู่บนหัวดินสอ"
สำหรับเราเหรอ.. พอได้อ่านแล้วก็มีความคิดหลายๆ อย่างเกิดขึ้น
คำตอบหนึ่ง.. เพื่อความสะดวกสบายของผู้ใช้ อานิสงของผู้มีประสบการณ์มาก่อนและคิดไว้เพื่อประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์
คำตอบสอง.. เพื่อเพิ่มคุณค่าของดินสอธรรมดาๆ ให้มีความแตกต่าง และมีราคาสูงขึ้น
ฟังดูแล้วเป็นคำตอบในแง่ธุรกิจซะจริง
หากนำความคิดของคนข้างบนมาเป็นแนวทาง
คำตอบสามที่เราได้.. หากได้ทำสิ่งทีผิดพลาดอย่างร้ายแรง แม้ผู้ทำผิดจะพยายามแก้ตัวทั้งชีวิต ก็ไม่อาจลบความผิดพลาดนั้นออกไปจากใจของผู้ถูกกระทำได้ เพราะงั้นอย่าคิดไปเองว่าทุกครั้งที่ทำผิด (ดินสอ) จะต้องได้รับการให้อภัย (ยางลบ)เสมอไป เพราะบางทีมันก็ขึ้นอยู่กับ "กระดาษ" ด้วยเช่นกัน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)