วันศุกร์, ตุลาคม 27, 2549

รู้จักคำเหล่านี้ไหม? Nerd - Geek - Otaku

"เนิร์ด" หรือ Nerd นิยามที่เราใช้เรียกคนที่มีความสนใจ เชี่ยวชาญ หรือคลั่งไคล้เฉพาะด้านในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ของสังคมเห็นว่าไม่สนใจ มักจะใช้นิยามถึงคนที่มีความรอบรู้ในเรื่องคอมพิวเตอร์ หรือ วิทยาศาตร์อย่างรุนแรง

แรกเริ่มเดิมทีใช้คำว่า "เนิร์ด" เป็นคำดูถูกเด็กคลั่งเรียน หรือเด็กบ้าคอมพิวเตอร์ หรือบุคคลใดก็ตามที่ลักษณะภายนอกไม่เข้าขอบข่ายในการเป็นที่นิยมของสังคมทั่วไปอย่างเช่น ใส่แว่นหนากรอบดำ แต่งตัวไม่เป็น ไม่ถนัดกับการเข้าสังคม ขี้อาย เก็บตัว พูดไม่เก่งในทุกเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องเทคนิค โดยเฉพาะกับสาวๆ ยิ่งแย่ใหญ่

ส่วน "กี๊ก" หรือ Geek เป็นคำที่ใช้เรียกคนที่มีความรู้และความคลั่งไคล้หลงใหลในเฉพาะด้าน ในเรื่องที่เกี่ยวกับความรู้และจินตนาการ มีระดับความเข้มข้นของคำที่อ่อนกว่า

ส่วนคำว่า "โอตาคุ" หรือ Otaku มาจากภาษาญี่ปุ่น มักจะใช้นิยามกลุ่มบุคคลผู้ซึ่งลุ่มหลงในโลกแห่งการ์ตูน และอนิเมชั่น กลุ่มคนเหล่านี้จะมีความสามารถในการเก็บเกี่ยวการ์ตูนหรืออนิเมชั่นในระดับ rare จากสถานที่ต่างๆได้อย่างไม่ยาก

ด้วยความหมกมุ่นอย่างหนักในโลกของอนิเมชั่นทำให้คนเหล่านี้ไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่าง "เด็กผู้หญิง"ในชีวิตจริงกับใน Anime ได้ทำให้การรับรู้ด้านความสวยงามเกี่ยวกับผู้หญิงจริงๆ สูญเสียไป พวกนี้จะคิดว่า "เด็กผู้หญิง" ที่น่ารักคือผู้ที่มี หูแมว ,หูหมา , หูกระต่าย , ชุดเมด , สาวอกโต และสาวแว่น เท่านั้น

ในยุคปัจจุบัน คำเหล่านี้ได้กลับกลายเป็นคำที่ใช้ชื่นชมคนที่มีความสามารถเฉพาะด้าน หรือคนที่คลั่งไคล้สิ่งใดสิ่งหนึ่งแบบสุดขีด เนื่องจากสังคมเริ่มให้ความสนใจกับ subculture (วัฒนธรรมย่อย) มากขึ้น อย่างเช่น การที่เราดูรายการทีวีแชมเปี้ยน แล้วมานั่ง ทึ่ง + ชื่นชม กับความคลั่งไคล้ของผู้เข้าแข่งขันที่ถือเป็นโคตรเซียนในเรื่องนั้นๆ หรือพวกที่คิดอะไรแปลกๆ ยากๆ ในระดับที่คนทั่วไปไม่สามารถคิดได้

ในอนาคตอาจมีคำที่ใช้เรียกกลุ่มคนที่มีความโดดเด่นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพิ่มขึ้นกว่านี้ก็ได้ ก็อย่างว่าล่ะนะ เป็นหัวหมาดีกว่าเป็นหางสิงฆ์จริงป่ะ

วันพุธ, ตุลาคม 25, 2549

สารพัดชนิดของ "เมีย"

ไม่รู้จะมีใครคิดเหมือนเราหรือเปล่านะ คำว่า "เมีย" มันฟังดูทะแม่งๆ น่ะ ยอมรับว่ามันก็เป็นคำพูดที่เค้าใช้กันทั่วไปนั่นแหละ เพียงแต่เราเองไม่ค่อยจะชอบสักเท่าไหร่ ฟังดูมัน.. ยังไงก็ไม่รู้ เหมือนมันเหยียดๆ ยังไงชอบกล หากเปลี่ยนเป็นคำว่า "ภรรยา" จะฟังดูดีกว่าเยอะเลย

คราวนี้มี "เมีย" แบบรวมมิตร มาเล่าสู่กันฟัง
เมียหลวง คือ ภรรยาที่เคยดีที่สุดในอดีต แต่กาลเวลาและสิ่งแวดล้อมทำลายความดีของเธอจนหมดสิ้นในระยะเวลาอันสั้น และทิ้งความโหดร้ายไว้ให้เธอต้องรับผลกรรม คือ ความจุกจิก จู้จี้ ขี้บ่น แก่ง่าย ตายยาก พูดมาก กินจุ อ้วนเหมือนหมู ดุเหมือนเสือ โถ…น่าสงสาร

เมียน้อย คือ ผู้หญิงที่ดีที่สุดของผู้ชายที่เพิ่งมาค้นพบภายหลัง

เมียเก็บ คือ อาหารพิเศษที่มีรสชาติแตกต่างจากอาหารธรรมดาทั่วไป เหมาะที่จะกินเป็นครั้งคราวเพื่อแก้เลี่ยน เป็นสินค้ายอดนิยมและมีราคาแพง เงื่อนไขเยอะ

เมียแต่ง คือ ผู้หญิงที่ทรงคุณค่า และคุณผู้ชายอยากจะประทับรอยรักสุดใจขาดดิ้น แต่ไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่านี้

เมียเช่า คือ ผู้หญิงผิวคล้ำ ขี้ร้อน ใช้เสื้อผ้าน้อยชิ้น สูบบุหรี่กินเหล้าเป็นงานอดิเรก รสนิยมสูง นิยมบริโภคของนอก มีปริมาณความรักขึ้นลงตามกระแสไหลเวียนของเงินสด

เมียจ๋า คือ ผู้หญิงหน้าดุเหมือนเสือ ยืนชูไม้ตีพริก เหมือนเทพีสันติภาพ และมีสามีนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น ประสานมือเหนือหน้าอกเหมือนไหว้เจ้า มีประวัติเพิ่งทำการละเมิดข้อห้ามร้ายแรงของภรรยาบังเกิดเกล้า ลักษณะตัวสั่น น้ำลายไหลเล็กน้อย พูดตะกุกตะกักว่า "เมียจ๋า" ซึ่งเป็นคำพูดในความหมายขออภัย ไถ่โทษ

เมียกู คือ ผู้หญิงสวย ขาว หุ่นเพรียวผอม อายุน้อย หน้าตาน่ารัก ยังไม่มีการรวมตัวกันของไขมันและตีนกา พูดจาไพเราะ อ่อนหวาน ผู้ชายที่พบเห็นจะเกิดอาการเขื่อนกันน้ำลายพัง ทำให้น้ำลายเอ่อล้นออกมานอกปาก แสดงอาการหึงหวง กีดกันชายอื่นไม่ให้เข้าใกล้ แสดงความเป็นเจ้าของทั้งที่บางครั้งยังไม่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง

เมียเรา คือ ผู้หญิงเอนกประสงค์ ที่มีการปรับสภาพเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี สามารถพลิกแพลงใช้งานได้หลายรูปแบบ ค่าใช้จ่ายในการ maintenance ต่ำ สามารถดูแลตัวเองได้ ไม่ค่อยเป็นภาระของ user มักใช้ประโยชน์ร่วมกันในหมู่เพื่อนฝูง

เมียบังเกิดเกล้า คือ ผู้หญิงที่น่าเบื่อที่สุดในโลก ความรู้น้อย บริหารงานไม่เป็น vision เป็นศูนย์ เผด็จการ ชอบใช้อำนาจในทางที่ผิด ข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย ใช้คำพูดหยาบคาย บุคลิกภาพน่ารังเกียจ เป็นที่ชิงชังของเพื่อนบ้านและผู้ชายทั่วไป โดยเฉพาะสามีจากคุณสมบัติที่น่าสยดสยองดังกล่าว ทำให้สามีเกลียด ขยะแขยง คลื่นไส้จนไม่อยากพูดด้วย ไม่อยากโต้ตอบ ไม่อยากมีเรื่อง สามีที่มีภรรยาประเภทนี้จึงใช้คำพูดอยู่สองคำ คือ "ครับ" กับ "ใช่ครับ" และใช้สรรพนามเรียกภรรยาว่า "แม่" มักอธิบายให้เพื่อนว่าเรียกตามลูกแต่เพื่อนๆ ไม่แน่ใจว่าเรียกตามลูกหรือเรียกด้วยความเคารพยำเกรง เพื่อสวัสดิภาพของตัวเอง และที่สำคัญ ได้ลบคำว่า "นอกใจ" ออกจากสมองและพจนานุกรมในบ้านเรียบร้อยแล้ว

อ่านแล้วขำพอๆ กับที่สงสัยว่าคนที่คิดนิยามเหล่านี้น่าจะเป็นผู้ชาย และคงต้องมีความเก็บกดอะไรกะเพศหญิงแน่ๆ แต่รู้อะไรมั๊ย ผู้หญิงน่ะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปตามการปฏิบัติตัวของสามีน่ะแหละ ถ้าอยากได้ ภรรยาที่น่ารัก ก็ต้องหัดเป็นสามีที่ดีซะก่อน

มันก็น่าแปลกนะ ผู้ชายตัวโต อยู่นอกบ้านดูแมนซะ แต่พออยู่ต่อหน้าผู้หญิงคนเดียว คนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยา เห็นเรียบร้อยทุกคน (ในระยะแรกๆ ) อย่างนี้จะเรียกว่า นิ่งสงบ สยบ เคลื่อนไหวได้ป่าวหว่า??

วันจันทร์, ตุลาคม 16, 2549

วันวาน..ยังหวานอยู่

ความรักระหว่างคนสองคนนั้น ย่อมเกิดขึ้นได้ในทุกรูปแบบ ตั้งแต่รักแรกพบไปจนถึงถ่านไฟเก่า บางครั้งพอความรักเก่าดับไปแล้ว ความรักใหม่ก็เข้ามาแทนที่ หลายต่อหลายคนพยายามหลีกหลี้หนีความรัก แต่เจ้ากามเทพตัวน้อยก็ยังคงตามไปแผลงศรรักปักอกให้เกิดความรักขึ้นมาอีก ความรักบางครั้งเกิดขึ้นอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เริ่มต้นด้วยความถูกใจ ถูกอัธยาศัย อยากได้อยู่ใกล้ชิด จนกระทั่งเกิดเป็นความรักและมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน ว่ากันว่า..ความรักของผู้หญิงบางครั้งก็ต่างจากของผู้ชาย... ผู้หญิงนั้นรักอยากได้อยู่ใกล้ชิด แต่ผู้ชายนั้นรักแล้วก็อยากได้สัมผัส

รักแท้ถ้าปล่อยให้อยู่ห่างไกลกันจึงมักจะแพ้ความใกล้ชิด เขาจึงมีคำพูดมานานแล้วว่า "สามวันจากนารีเป็นอื่น" ซึ่งก็เป็นประโยคที่ตีความได้ 2 ทางคือ สามวันจาก... นารีเป็นเรื่อง หรือ สามวันจากนารี...เป็นอื่น เลยไม่รู้ว่าผู้ชายหรือผู้หญิงกันแน่ ที่เป็นอื่น หลังจากแยกกันเกิน 3 วัน และคำกล่าวนี้ ก็มักจะเป็นจริงๆ เสียด้วย ใครที่ไม่คิดจะแยกจากใครจริงๆ จึงต้องพยายามให้มีสื่อสัมพันธ์ถึงกันให้ได้เป็นประจำ ในยุคที่เทคโนโลยีการสื่อสารเจริญก้าวหน้าแบบนี้ต้องพยายามใช้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด ที่จะทำให้ความรักยังคงอยู่คู่ตัวเอง

ความรักบางครั้งจึงเหมือนกับความฝันของวันวานที่หวานซึ้ง แต่ปัญหามีอยู่ว่าทำอย่างไรวันนี้และวันพรุ่งนี้จะยังหวาน เหมือนวันวานอยู่ แม้จะมีคนกล่าวว่า วานนี้เป็นอดีตที่แก้ไขไม่ได้และพรุ่งนี้เป็นอนาคตที่อะไรจะเกิดขึ้นก็ยังไม่แน่นอน การที่มีวันนี้อย่างสุขสมดีงามและทำทุกอย่างเต็มที่เพื่อความรักนั้นน่าจะทำให้วันวานที่หวานอยู่ เป็นทุกๆ วันก็เป็นได้
ก่อนที่จะนึกถึงวันวานที่ยังคงหวานอยู่นั้น... ต้องพยายามหาใครสักคนที่รักเราและเราก็รักเขา เราสองคนจึงรักกันด้วยมิตรไมตรีที่อบอุ่นนุ่มนวล มีสัมพันธภาพที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพราะความรักที่เราสองคนมีต่อกันนั้น เป็นความรักที่แท้จริง ซึ่งย่อมจะหวานอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่วันวานจนถึงวันพรุ่ง ยังมีความเข้าใจผิดอีกมากหลาย เกี่ยวกับความรักโดยเฉพาะ...รักแท้

(1) ผิดมากที่จะคิดว่า... รักแท้สามารถที่จะชนะอุปสรรคทุกอย่างได้
ความจริงก็คือ... รักแท้อย่างเดียวไม่พอต้องมีความเหมาะสมและการยอมรับด้วย ลองนึกดูซิว่า ถ้าคนใดคนหนึ่งสูบบุหรี่จัด ดื่มสุราจัด ชอบอาละวาดเป็นประจำ รักแท้จะทำอย่างไรได้ หรือเกิดความรักกับคนที่ทัศนคติไม่ตรงกันและไม่ยอมปรับเปลี่ยนทัศนคติจะทำอย่างไร แบบนี้ รักแท้ก็รักแท้เถิด ไม่นานก็ทนไม่ได้เหมือนกัน ความเหมาะสมอีกประการหนึ่งที่ต้องปรับให้สมดุลก็คือ ความต้องการและการตอบสนองทางเพศ เพราะถ้าเรื่องของเซ็กซ์ไปกันไม่ได้แล้วละก็ โอกาสที่จะเกิดเตียงหักมีอยู่มาก เช่นเดียวกับการมีคู่เป็นคนต่างชาติต่างศาสนานั้น ต้องดูความเหมาะสมให้ดีว่าจะไปด้วยกันได้หรือไม่ ครอบครัวของแต่ละฝ่ายยอมรับไหม ไม่อย่างนั้นรักแท้ก็แพ้ทางให้กับความไม่เหมาะสมได้เหมือนกัน

(2) ชอบคิดผิดกันเรื่อยๆว่า... พอเจอหน้าก็รู้เลยว่าเป็นเนื้อคู่
ความเป็นจริงที่ต้องยอมรับก็คือ... รักแท้ต้องการเวลาในการก่อกำเนิด บางคนเจอหน้าครั้งแรก บอกว่า ใช่แน่ คบกันไปหนึ่งเดือน บอกว่า ใช่เลย พออยู่ด้วยกันไปสักหนึ่งปีบอกกับตัวเองว่า ใช่แน่หรือ ผ่านไปสองปีเริ่มสงสัยว่า ไม่ใช่มั๊ง และพออยู่กันไปอีกไม่นานก็ตอบตัวเองได้ว่าไม่ใช่หรอก ไม่ใช่แน่ๆ ...แล้วที่คิดว่ารักแรกพบเป็นรักแท้ ก็ถึงกาลพินาศ ต้องใช้เวลาพิเคราะห์ให้แน่ว่าเป็นรักแท้ คือ เจอครั้งแรกบอกว่า ใช่ไหมนี่ คบกันสักหนึ่งปี ค่อยบอกว่า น่าจะใช่นะ สัก 2-3 ปี ค่อยแต่งงาน แล้วบอกว่าคิดว่าใช่ และถ้าอยู่กันได้เกินสิบปีขึ้นไป ค่อยเริ่มบอกว่า ใช่แน่... เขาจึงว่า จะพิสูจน์รักแท้ทั้งที ต้องใช้เวลา

(3) คิดผิดจริงๆ ว่า... รักแท้เกิดขึ้นได้ครั้งเดียว
เพราะในปรากฏการณ์ที่เป็นจริงนั้น... รักแท้อาจมีได้หลายรัก เพียงแต่เลือกที่จะอยู่ด้วยกันกับความรักของคนใดคนหนึ่งต่างหาก

(4) มีความเชื่อผิดๆ ว่า ...คู่ที่มีความรักแท้จะสามารถเติมแต่งทุกสิ่งในชีวิตได้ตามต้องการ
ความเป็นจริงก็คือ... ทำได้เป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่ทั้งหมด และที่พอจะทำได้ก็คือพยายามมองกันและกันในทางที่ดี คิดถึงกันในทางบวก รวมทั้งพยายามนึกถึงความทรงจำอันหวานชื่น เมื่อแรกรักกันใหม่ๆ แล้วเก็บความประทับไว้ในดวงใจ เวลาที่เกิดความไม่สบายใจหรือไม่ถูกใจ จะได้กลับมาคิดถึงความรู้สึกที่ดีๆ เหล่านั้น

ลองนึกถึงความทรงจำอันหวานชื่นต่อไปนี้ดูบ้าง... ชีวิตจะมีความสุขมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ครั้งแรกที่เขาจุมพิต ครั้งแรกที่เธอยอมให้จุมพิต วันที่เขาขอความรัก วันที่บอกรักเธอแล้ว เธอตอบว่ารัก วันชื่นคืนสุข แห่งวันวิวาห์ ความใกล้ชิดกันขณะให้กำเนิดบุตรคนแรก ชวนกันตกแต่งบ้าน ช่วยกันออกแบบบ้านที่เป็นรังรักอันอบอุ่น อุ่นใจและปลอดภัยในอ้อมแขนของกันและกัน คุยกันถึงความฝันและความหวังต่างๆ ที่วางแผนสำหรับอนาคตร่วมกัน นั่นคงจะเป็นเรื่องราวของวันวานที่หวานอยู่ ซึ่งสามารถที่จะคิดคำนึงถึงได้ด้วยกัน และทำให้วันเวลาในปัจจุบันมีความสุขมากขึ้น

การคิดคำนึงถึงเรื่องราวที่ทำให้เกิดความรู้สึกในทางที่ดีต่อกันนั้นจะทำให้สัมพันธภาพในชีวิตคู่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การหาเวลาว่างไปท่องเที่ยวทัศนาจรด้วยกันและพูดคุยกันถึงเรื่องเก่าๆ ที่น่ารักๆ ที่เคยกระทำร่วมกัน หรือวางแผนการที่จะทำอะไรแบบนั้นอีกในอนาคต ช่วยทำให้ความหวังในการมีชีวิตอยู่อย่างสุขสมยืนยาวเป็นไปได้ด้วยดี

ลองคิดดูซิว่า อยู่ด้วยกันมา 10 ปีแล้ว ในวันสุดสัปดาห์คุณสองคนชวนกันไปพักผ่อนชายทะเล ในห้องพักที่มีอ่างอาบน้ำที่คุณสามารถจะอาบน้ำอุ่นด้วยกันได้ กล้าหาซื้อน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่คุณชื่นชอบมาใส่ หรือให้บรรยากาศหอมจรุงใจ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะสวยงามเหมือนฝัน เหมือน...วันวานที่ยังหวานอยู่

อ่านแล้วรู้สึกดีจัง..

วันศุกร์, ตุลาคม 13, 2549

Woman's Life Cycle

อะไรคือความแตกต่างระหว่างเด็กผู้หญิง และหญิงสาว ณ อายุที่ต่างกัน : 8, 18, 28, 38, 48, 58, 68 และ 78???

อายุ 8 ปี --
คุณพาเธอเข้านอน แล้วเล่าเรื่องในเธอฟัง

อายุ 18 ปี --
คุณเล่าเรื่องให้เธอฟัง แล้วก็พาเธอเข้านอน

อายุ 28 ปี --
คุณไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องให้เธอฟังเพื่อพาเธอเข้านอน

อายุ 38 ปี --
เธอเล่าเรื่องให้คุณฟัง แล้วพาคุณเข้านอน

อายุ 48 ปี --
เธอเล่าเรื่องให้คุณฟัง เพราะไม่อยากให้คุณเข้านอน

อายุ 58 ปี --
คุณเข้านอนเพราะไม่อยากฟังเธอเล่าเรื่องให้ฟัง

อายุ 68 ปี --
ถ้าคุณพาเธอเข้านอนนั่นแหละคือเรื่อง

อายุ 78 ปี --
เรื่องอะไร?? เตียงอะไร?? และ คุณคือใคร??

มันเป็นสัจธรรมของชีวิตจริงๆ เลยนะ จากจุดกำเนิดสู่จุดสูงสุด และสุดท้ายกลับคืนสู่สามัญ..

Alzheimers' Eye Test ..มาทดสอบประสาทตากันเหอะ..

มีอะไรแปลกๆ มาลองเล่นดูน่ะ บังเอิญได้มาจาก forward mail จากใครสักคนที่เรารู้จักนี่แหละ อันที่จริงเราก็เคยเล่นมาหลายรอบแล้ว แต่คราวนี้จะลองดูอีกครั้งแต่จะอ่านแบบเร็วๆ และเชื่อมั๊ยว่าทั้งที่รู้หลักการก็ยังผิดอยู่ดี
ลองดูมั่งไหมล่ะ

เค้าบอกว่าให้นับตัว "F" ทั้งหมดที่มีในย่อหน้านี้ (ภายใน 5 วินาที) เริ่มกันเลยนะ..

FINISHED FILES ARE THE RESULT OF YEARS OF SCIENTIFIC STUDY COMBINED WITH THE EXPERIENCE OF YEARS...

เอาล่ะ.. คุณนับได้กี่ตัว??


ผิดแล้ว!!
มันมีทั้งหมด 6 ตัวต่างหาก ไม่ได้ล้อเล่นนะ ลองนับดูอีกทีสิ! กลับไปนับอีกทีแล้วหาให้ครบนะ

รู้มั๊ยว่าทำไมเราถึงหาไม่เจอ ก็เพราะว่าสมองเราไม่สามารถประมวลผลคำว่า "OF" ได้น่ะสิ เหลือเชื่อใช่ป่ะ?? ลองกลับไปดูอีกที

ใครที่สามารถนับได้ 6 ตัวในครั้งแรก คุณคืออัจฉริยะ (ข้ามคืน)
นับได้ 3 ตัว ถือว่าปกติ
นับได้ 4 ตัว หายากแล้วนะ

ครั้งแรกที่เล่นเราก็ได้ 3-4 ตัวนี่แหละ แต่ครั้งล่าสุดนับได้ 5 คงเพราะอ่านเร็วไปหน่อยน่ะ

วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 05, 2549

เหตุผลที่ต้องมีคนแบบนี้

มนุษย์เรามี "เหตุผลที่คนควรอยู่ร่วมกัน"
ทำให้มนุษย์หลายคนถึงได้เกิดมาอย่างเหมาะเหม็ง... มาดูกันดีกว่า

คนชอบเอาเปรียบเพื่อน
: มีไว้เช็คน้ำใจของเพื่อนในกลุ่มได้ ว่ายังมีน้ำใจให้กันอยู่เพียงใด

คนมองโลกในแง่ร้าย
: มีไว้เพื่อให้เรารู้จักระมัดระวังตัว และสามารถอุดช่องว่างที่คาดไม่ถึงอันอาจจะทำให้เราเกิดความเสียหายได้ ... เมื่อจัดทีมทำงานใหญ่ ควรจะมีคนมองโลกในแง่ร้ายเอาไว้คนนึงถึงจะเข้าท่า

คนตดเหม็น : เอาไว้สอนเราว่า กินแกงจืดวุ้นเส้นถ้วยละ 10 บาท กับกินพระกระโดดกำแพงหม้อละหมื่น กลิ่นเกลิ่นก็ไม่ได้ดีเลวไปกว่ากันเท่าไรนัก

คนหูตาลามก : ชอบสอดส่ายสายตาตามร่องกระดุมหรือช่องกระโปรงที่เปิดอ้าเวลาเผลอ คนแบบนี้มีไว้เช็คว่าเรา (เฉพาะสาวๆ) แต่งตัวเรียบร้อยมิดชิดดีหรือยัง

คนขี้นินทา : มีไว้เพื่อเช็คว่า เราเป็นที่รักหรือที่สนใจของเพื่อนในวงการหรือไม่ หากมีใครสักคนที่ไม่ถูกนินทาเลย ... ลองสำรวจตัวเองดูหน่อย ว่าคุณไม่มีเรื่องอะไรให้เขานินทา หรือไม่มีใครสนใจจะอยากรู้เรื่องของคุณ

คนปากไม่ตรงกับใจ : ถ้าเขาปากไม่ตรงกับใจแบบ 100% ละก็ ง่ายมาก เขาเป็นคนรักความจริง คุณคุยกับเขาคุณจะได้แต่ความจริง เพียงแต่คุณต้องมาคอนเวิร์ส "ความจริง"ของเขาในหัวสมองเอาเองก็แค่นั้นแหละ

คนปากไม่ตรงกับใจ 50% : ลุ้นดีออก คุณจะได้ลุ้นว่าสิ่งที่เขาพูดมานั้นจริงหรือไม่ โอกาส มีอยู่ 50:50

คนที่มากิ๊กกับแฟนคุณ : เอาไว้บ่งชี้ว่า คุณเลือกแฟนไม่ผิด เพราะคนอื่นเขาก็อยากจะเลือกแฟนคุณเหมือนกัน

คนเห็นแก่ตัว : ทำให้เรารู้ว่า เราสามารถรักษาผลประโยชน์ของเราได้อย่างไร

คนเห็นแก่เงิน : อย่างน้อยคุณก็รู้ว่า คุณจะเจาะใจเขาได้ง่ายๆ ไม่ซับซ้อนด้วยอะไร

บริกรห่วยๆ ในร้านอาหารดีๆ : มีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้คุณต้องมาเสียเงินให้ร้านนั้นบ่อยครั้งจนเกินไป

พระเวียนเทียนของบิณฑบาต : รักษาทรัพยากรของโลกดีออก ... บุญก็ได้ อาหารก็ไม่เหลือทิ้งขว้าง

ผู้กำกับหนังห่วยๆ : ทำให้คุณไม่จำเป็นต้องเข้าโรงหนังมันทุกสัปดาห์ ใครบางคนที่ชอบมาหลอกให้อยากแล้วจากไป : อย่างน้อยก็ทำให้จิตใจตื่นเต้นตื่นตัวขึ้นบ้าง ดีกว่าหมดหวังไปซะทีเดียว

คนที่เรารักเขา แต่เขาดั๊นไม่รักเรา : มีไว้ให้คุณได้ลิ้มรสความรักที่ไม่มีความหวัง แต่ก็ยังรัก ... และคุณจะสามารถเป็นคนที่สามารถทำอะไรๆ ให้เพื่อนมนุษย์ได้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนมากที่สุด

มีคนแบบนี้อยู่บ้างก็ดีนะ เป็นสีสันให้กับชีวิตไปอีกแบบ ถ้าเราไม่คิดมาก 555